Samui & Angthong Islands 1

หมู่เกาะอ่างทอง … ของเค้าแรงจริงๆ!!!
ทริปนี้เป็นทริปที่ทรหดที่สุดเท่าที่เคยเจอเลย!

พฤหัสที่ 20/1/2011

เริ่มออกเดินทาง นั่งแท๊กซี่ไป airport link มักกะสัน ตอนเที่ยงวัน รถติดมากกกก
กะว่ายังไงก็ไม่ทัน ก็เลยลงจากแท๊กซี่ตรงศูนย์สิริกิติ์ (ค่ารถ 60 บ.)เดินจ้ำไปหามอเตอร์ไซด์รับจ้าง
ดีที่มีผ่านมาคันนึงพอดี ก็เลยนั่งไปมักกะสัน 100 บ.
ไปถึงสถานี รถเพิ่งออกไป ต้องรออีก 18 นาที (มันมาทุก 20 นาที)
กว่าจะไปถึงแอร์พอร์ต เค้าน์เตอร์เช็คอิน โหลดของ ก็เหลือเวลาอีก 5 นาทีก่อนเค้าน์เตอร์ปิด แฮ่กๆ!
อันที่จริงกะว่าถ้าไปไม่ทันจริงๆ ก็คงให้นุ่มเช็คอินทางตู้ไปก่อน แล้วเราก็หิ้วกระเป๋าขึ้นเครื่องไป
ส่วนของเหลวจำพวกสบู่ แชมพูก็คงโยนทิ้งไป แล้วไปขอเพื่อนๆใช้แทน ^^

พวกเราเดินทางด้วยสายการบิน Air Asia flight FD3181 เครื่องออกเวลา 14.20 น.
ซึ่งตั๋วนี้พวกเราจองกันตั้งแต่เดือนมีนาคม ปีที่แล้ว ล่วงหน้าถึง 8 เดือนทีเดียว
ทำให้เราได้ตั๋วถูกมาก ไป-กลับเพียงแค่ 870บ. เท่านั้น
เป็นราคาที่รวมค่าโหลดกระเป๋าสำหรับ 2 คน รวมได้ 30 กก.
ซึ่งก็น้ำหนักที่พอดีสำหรับกระเป๋าพวกเรา 5 คน 5 ใบ

สำหรับตั๋วรถที่รับ-ส่งสนามบินสุราษฎร์ธานี-ท่าเรือซีทราน
และตั๋วเรือซีทรานจากท่าเรือฝั่งสุราษฎร์ฯ-เกาะสมุย
สามารถซื้อได้ที่บนเครื่องเลย แอร์เอเชียมีจัดขาย
ซึ่งราคาตั๋วรถ+เรือ ไปกลับก็คนละ 650บ. สะดวกดี

โอ๊ะ ลืมแนะนำไปเลย ทริปนี้มีเพื่อนร่วมทริป 5 คน ได้แก่
นุ่ม หนุ่ม ปา หญิง และอิน
อันที่จริงมี 9 หน่อ แต่ว่าเจษ หว้า บอย ก็อปแคนเซิ่ลไป
แต่เนื่องจากค่าเครื่องที่ไม่สามารถรีฟันด์ได้ รวมถึงค่าที่พักที่อช.หมู่เกาะอ่างทองที่จ่ายไปแล้ว
ก็เลยทำให้ 4 คนที่ไม่ได้ไป ต้องหารเฉลี่ยค่าใช้จ่ายส่วนนี้เช่นกัน

แล้วก็ขอต้อนรับน้องใหม่อีก 1 ที่มาร่วมในทริปนี้คือน้อง Nikon D3100 ของเรา
แบบว่ายังปรับอะไรไม่ค่อยเป็น แสง สีก็เพี้ยนไปบ้าง over/under ไปบ้าง ก็โปรดอภัย ^^

เมื่อเครื่องบินลงจอดที่สนามบินสุราษฎร์ฯ ในเวลาบ่าย 3.50 น.
พวกเราก็เดินไปขึ้นรถบัสที่จอดรอหน้าสนามบินเลย
ใช้เวลานอนประมาณ 2 ชม. รถบัสก็มาจอดที่ท่าเรื่อซีทราน ทันเวลาเรือออกตอน 18.00 น.
เรือซีทรานเฟอร์รี่ เป็นเรือลำใหญ่ มีขายอาหารบนเรือด้วย
ด้วยความหิว เราเลยซื้อไวไวคัพ (20บ.) มากินรองท้อง
หลังจากที่ไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องเป็นเวลา 7 ชม.
นั่งถ่ายรูป ชมวิว เม้าท์กันเพียงแค่ 1 ชม.ครึ่ง
เรือเฟอร์รี่ก็มาจอดเทียบท่า ณ ท่าเรือหน้าทอน บนเกาะสมุย


พวกเราได้จองห้องพักที่แพนด้าเกสต์เฮ้าส์ (077-420-323) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ
โดยจากท่าเรือ เดินตรงมาถึงถนนใหญ่ เลี้ยวขวาหน่อย ก็จะเห็นร้านอาหารโต้รุ่งด้านขวามือ
แพนด้าฯจะอยู่ฝั่งซ้ายของถนน ตรงข้ามร้านอาหารโต้รุ่งเลย
ต้องคอยดูป้ายให้ดีๆ เพราะทางเข้าเล็กมากกกก
พวกเราก็ไม่ทันได้มอง เอาแต่มองร้านอาหาร คิดเมนูอาหารเย็นกันใหญ่ จนเดินเลยไป
สุดท้าย ถามทางคนแถวนั้น เค้าแนะนำให้เข้าทางด้านหลังซึ่งเป็นอีกซอยนึง
เพราะทางซอยนี้จะมีป้ายใหญ่ และหน้าที่พักจะหันมาทางซอยนี้ จึงเห็นได้ชัดเจน

3ทุ่มครึ่ง เมื่อมาถึงที่แพนด้า ปรากฎว่าห้องพักที่เราจองไว้ไม่มี
คือเราจองห้อง 700บ./ห้อง นอนได้ 4 คน โดยมีเตียงใหญ่ 2 เตียง
แต่ทางเจ้าของแจ้งว่ามีแขกที่จองไว้ก่อนเค้าจะอยู่ต่อ ห้องเลยไม่ว่าง
ก็แอบเซ็งเพราะเราก็จองไว้ล่วงหน้าเป็นเดือนๆแล้ว ก่อนเดินทาง 3 วันก็โทรมาคอนเฟิร์ม
เค้าก็น่าจะแจ้งให้พวกเรารู้ก่อน ไม่ใช่มาบอกเอาเมื่อถึง
แล้วก็เลยเสนอห้องพัก 2 ห้อง ห้องละ 500 บ. แต่ลดให้เหลือ 450 บ.ให้พวกเราแทน
ซึ่งเป็นห้องพักที่มีทีวี แอร์ แต่ไม่มีน้ำอุ่น
แต่สุดท้ายก็ต่อได้เหลือห้องละ 400 บ./คืน


หลังจากเก็บกระเป๋ากันแล้ว พวกเราก็รีบลงมาที่ร้านอาหารโต้รุ่งเพื่อกินข้าวเย็นกันตอนดึก
อาหารแถวนี้ราคาไม่แพงนัก และอร่อยใช้ได้เลย (หรือเพราะหิวก็ไม่รู้ 55)
โดยเฉพาะยำวุ้นเส้นที่ร้านสุกี้ รสจัดดี
และทุกร้านก็จะมีบริการน้ำดื่มเย็นๆฟรีให้ด้วย ทำให้ประหยัดค่าน้ำไป

หลังจากอิ่มท้อง ก็เข้าไปแวะ 7-11 แถวนั้น
ซื้อเสบียงไปตุนสำหรับ 2 คืน 3 วัน ที่หมู่เกาะอ่างทอง!

——————————-

ศุกร์ที่ 21/1/2011
พวกเรานัดกัน 7.45 น. ที่ด้านล่างที่พัก เพื่อรอรถของสมุยไอซ์แลนด์มารับไปยังท่าเรือ
การเดินทางไปหมู่เกาะอ่างทองนี้ พวกเราเลือกใช้บริการ 1 day trip ของสมุยไอซ์แลนด์
ซึ่งปกติราคาจะพันกว่า แต่ช่วงนี้ลดราคาเหลือ 750 บ. ก็เลยได้ประหยัดกันไป
(แต่ถ้ามา 6 คน จะเหลือ 700 บ.เอง เสียดาย)
ราคานี้นี้ จะรวมอาหารเช้าได้แก่ ชา กาแฟ โอวัลติน ครัวซอง และกล้วยให้
กลางวันก็จะมีข้าว แพนงเนื้อ ไก่ทอด ผัดผัก และแตงโม สัปปะรดให้
เครื่องดื่มก็จะมีน้ำอัดลมและน้ำเปล่า

มีเรื่องฮาระหว่างนั่งกินข้าวเช้าอยู่บนเรือเพื่อรอเรือออกจากท่า
เราได้รับสายจากเจ้าหน้าที่เรือซึ่งโทรมาถามเราว่าอยู่ไหนแล้ว ขึ้นเรือหรือยัง
เราก็งงๆ ก็บอกว่าอยู่บนเรือแล้ว
เค้าก็บอกว่ามาถึงปากบาราแล้วเหรอ
เราก็ อ้าวววว ท่าเรือปากบาราเนี่ยนะ เราไปมาเมื่อเดือนที่แล้วนะ
ตอนนี้อยู่ท่าเรือเกาะสมุยแล้ว!!! 555
เราก็งงๆ เมื่อวานก็คนนี้แหละโทรมาถาม เราก็บอกว่าเดินทางพรุ่งนี้
ก็นึกว่าโทรมาจากทางสมุยไอซ์แลนด์ซะอีก 5555
ไม่รู้เค้าทำงานกันยังไง งงๆก๊งๆยังไงก็ไม่รู้ ข้ามเดือนไปแล้วยังโทรมาอีก
ปีก่อนหน้านั้นตอนไปอาดังก็ที โทรมาได้ทุกวัน
ตั้งแต่วันก่อนเดินทาง ยันวันกลับ ก็โทรมาถามทุกวันว่ามาถึงท่าเรือถึงรึยัง -*-

กลับมาที่หมู่เกาะอ่างทองต่อ …
โปรแกรมที่จะพาไปในเช้าวันนี้ก็คือทะเลใน ที่เกาะแม่เกาะ
โดยมีคุณอิ๋วเป็นไกด์นำเที่ยวซึ่งจะแนะนำที่เที่ยวเป็นภาษาอังกฤษ
เพราะส่วนใหญ่ลูกทัวร์จะเป็นชาวต่างชาติ

เรือหวานเย็นลำนี้ค่อยๆแล่นไป ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงจึงจะถึงจุดหมาย
เมื่อใกล้ถึงเกาะแม่เกาะเวลา 10.40น. ก็จะมีเรือหางยาว 2 ลำมารับลูกทัวร์เข้าสู่เกาะ
โดยไกด์ให้เวลาเดินเที่ยวบนเกาะนี้ 1 ชม.

เกาะแม่เกาะนี้ เป็นเกาะเล็กๆ มีหาดทรายแคบๆ แต่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่แนะนำคือ “ทะเลใน”
เราได้ขึ้นไปชมวิวด้านบนสุดของเกาะ ได้เห็นทะเลในมุมสูง
จากนั้นก็เดินลงบันไดมาด้านล่างสุดเพื่อชมทะเลในอย่างใกล้ชิด
แต่ที่ทะเลในนี้ไม่สามารถลงเล่นน้ำได้ เนื่องจากมีโพรงด้านล่างเชื่อมต่อกับทะเลด้านนอก
อาจมีสัตว์ทะเลที่ทำอันตรายแก่คนได้

ในช่วงที่พวกเราไปที่เกาะนี้ ทางเกาะกำลังก่อสร้างทางเดินเพิ่มขึ้น
เพื่อแยกทางขึ้นและทางลงให้อยู่คนละเส้นทาง
เนื่องจากทางที่มีอยู่เดิมนั้นค่อนข้างแคบ ไม่สะดวกในการเดินสวนกัน
จึงทำให้การจราจรค่อนข้างติดขัด แม้ว่าช่วงที่เราไปจะมีนักท่องเที่ยวไม่มากนักก็ตาม


เช้านี้ยังเป็นอะไรที่ชิลๆอยู่ เดินขึ้นเดินลงไม่มาก ยังไม่เหนื่อยนัก
เมื่อขึ้นเรือ ก็ได้เวลาอาหารกลางวันพอดี
กว่าจะกินกันเสร็จเรียบร้อย ก็ใกล้ถึงเกาะวัวตาหลับ ซึ่งอยู่เกาะตรงข้ามกับเกาะแม่เกาะ

พวกเราแจ้งไกด์ว่าจะขอค้างคืนที่เกาะวัวตาหลับ 2 คืน
และจะกลับพร้อมเรือเที่ยวที่จะมาในอีก 2 วันข้างหน้าซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร

เราเข้าไปเช็คอินเข้าบ้านพัก ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง
ระหว่างรอเจ้าหน้าที่ เราก็เดินถ่ายรูปเล่นรอบๆ

เจ้าหน้าที่บอกว่าแม่บ้านอาจทำความสะอาดอยู่ ให้รอไปก่อน
แต่นุ่มเดินไปดูที่บ้านพักเลย และเห็นว่าทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว
จึงโทรบอกหนุ่ม เรียกพวกเราให้ไปที่ห้องพักได้เลย

พวกเราก็มุ่งหน้าไปยัง “บ้านลมหวล” ซึ่งเป็นบ้านเรือนไม้หลังใหญ่
แบ่งเป็น 3 ห้องนอน รวมทั้งหมด 8 เตียง มีห้องน้ำในห้องนอน 2 ห้อง
และห้องน้ำนอกห้องอีก 1 ห้อง
และยังมีระเบียงใหญ่ พร้อมชุดโต๊ะรับแขกไม้ที่รองรับได้ 8 ที่
ในห้องพัก มีผ้าเช็ดตัว สบู่ก้อน แชมพูซันซิลค์ซองให้
และมีน้ำเปล่า 6 ขวดและแก้วน้ำวางไว้บนโต๊ะรับแขก


พวกเราแยกย้ายกันไปจับจองเตียงและห้อง
ปา หญิง และเรานอนห้องเดียวกัน โดยห้องนอนพวกเรามีห้องน้ำในตัว
นุ่มและหนุ่มนอนห้องถัดไป แต่ไม่มีห้องน้ำ
ที่ไม่เลือกนอนห้องที่มีห้องน้ำเพราะแดดส่อง ทำให้ห้องร้อน
ดังนั้นก็มีห้องว่างห้องนึงเหลือทิ้งไว้

หลังจากที่จัดข้าวของแล้ว ก็ถึงเวลาพักผ่อน
เรา หญิง ปา ต่างนอนหลับเอาแรง
ส่วนนุ่ม เราเดาว่าคงอ่านหนังสือแน่ ^^
ส่วนหนุ่ม ก็คงไปปีนต้นมะพร้าวแถวบ้านพักเล่นละมั้ง 555

บ่าย 4.30 น. นอนๆอยู่ ได้ยินนุ่มตะโกนเรียกว่าค่างแว่นมาเต็มเลย
เราเลยสะดุ้งตื่นและรีบสะพายกล้องออกจากห้องนอน
เคยรู้มาว่าที่นี่จะมีค่างแว่นเยอะ แต่ไม่คิดว่าจะมาเดินป้วนเปี้ยนแถวหน้าที่พักเลย
ค่างแว่น 5-6 ตัว มาปีนต้นไม้ ปีนหลังคาบ้านพักเรา เด็ดใบไม้กินกันอย่างเอร็ดอร่อย
ท่าทางจะขับถ่ายได้คล่องนะเนี่ย 55
บางคู่ก็มาอะจึ๊กๆ กันบนต้นไม้หน้าบ้านพักด้วย!
เราก็เลยได้ฤกษ์เอาเลนส์ 55-300mm. มาทดลองใช้
เสียดายตอนแรกลืมเปิดกันสั่น ภาพเลยมัวๆ แต่หลังจากเปิดกันสั่นแล้วก็ดีขึ้น

ใกล้ 5 โมงเย็นแล้ว นุ่มและหนุ่มจะไปปีนเขาขึ้นไปยังจุดชมวิวกัน
เราก็เลยไปปลุกหญิงและปาให้เตรียมตัวไปกัน
เจ้าหน้าที่อุทยานก็มีเตือนให้เอาไฟฉายไปด้วยเพราะเราขึ้นไปกันค่อนข้างเย็น
แต่นุ่มบอกว่ามีเตรียมเอาไว้แล้ว ก็เลยไม่ได้ยืมของเจ้าหน้าที่ไป
ขณะเดินไปถึงทางขึ้น เราก็นึกได้ว่าลืมเปลี่ยนรองเท้า
หากคีบแตะขึ้นไป คงลำบากแน่ ก็เลยวิ่งไปเปลี่ยนรองเท้ารัดส้นที่บ้านพัก
พอวิ่งกลับมาถึงก็หอบแล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มปีนเล้ย 5555
นุ่มกับหนุ่มล่วงหน้าขึ้นไปก่อน คงเพราะหนุ่มกลัวไม่ทันได้ภาพสวยๆ
เรา หญิง ปา เกาะกลุ่มกันค่อยๆขึ้นไป
ทางเดินขึ้นไปเป็นหินชัน มีเชือกผูกไว้ตลอดทางให้จับไว้
และมียุงตัวบิ๊กเบิ้มมาคอยอยู่เป็นเพื่อน!
ดีที่เรามีเตรียมยาฉีดกันยุงไป ก็เลยช่วยได้มาก

จุดชมวิวจุดแรกเป็นจุดชมวิว 100 เมตร ชื่อจุดชมวิวสลัดได
ยังไม่สูงมากนัก เดินแค่ 10 นาที ยังไม่ทันเหนื่อยเท่าไหร่ก็ถึงแล้ว

จุดชมวิวที่สองเป็นจุดชมวิว 200 เมตร เดินต่ออีกแค่ 10 นาทีจากจุดแรก
สูงขึ้นมาอีกหน่อย แต่วิวสวยใช้ได้เลย ลมโกรกเย็นสบายจนแทบไม่อยากไปต่อ
สำหรับเรา ถือเป็นจุดชมวิวที่เดินได้ยากกว่าที่ผาชะโด อช.อาดัง
เพราะต้องคอยเกาะเกี่ยวเชือกตลอดเนื่องจากทางสูงชัน
และหินก็ลื่นพอดู เพราะถูกขัดด้วยดอกยางรองเท้าของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
แต่ว่าระยะทางเดินใกล้กว่า และเหนื่อยน้อยกว่ามากกก

แต่จากจุดที่สอง เราต้องปีนไปอีก 300 เมตรจึงจะถึงจุดที่สาม
ชื่อว่าจุดชมวิวผาจันทร์จรัส … โหดสุดๆ!!!
นอกจากจะเดินไกลว่าสองจุดแรกแล้ว ทางเดินก็ชันกว่ามาก
และที่สำคัญ ตรงจุดสุดท้ายที่จะขึ้นไปยังลานพักชมวิว
ต้องปีนหินผาขึ้นไป ซึ่งเป็นแง่งหินคมๆ ไม่มีต้นไม้ให้เกาะเกี่ยว
มีเพียงเชือกเส้นเดียวเท่านั้นให้เราจับ
หากพลาดพลั้งตกลงไป ก็คงไม่ทันได้บอกลาใครแน่!

จุดนี้ พวกเรามีเตรียมถุงมือมาใส่กันหินบาด และช่วยให้เกาะเกี่ยวหินและเชือกได้ดีขึ้น
เป็นจุดที่หวาดเสียวทีเดียว ตอนแรกที่เราเห็นในรูป ก็กะว่าอาจจะไม่ขึ้น
แต่นุ่ม-หนุ่มที่ขึ้นไปรอก่อนหน้า ก็ตะโกนเรียกให้ปีนขึ้นไป
ไอ้เราเห็นเพื่อนปีนได้ ก็คิดว่าคงไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

ขณะปีนขึ้นไป โอ้โห หาที่สำหรับมือเกาะ และที่สำหรับขาวางในการปีนป่ายได้ยากมาก (สำหรับเรา)
เราใช้วิธีปีนหิน ไม่ได้เกาะเชือกไว้เพราะรู้สึกว่าทำให้ทรงตัวได้ลำบากกว่า
ทั้งกลัว ทั้งหวาดเสียว แต่เมื่อก้าวขึ้นไปแล้ว จะให้ก้าวลงก็ยิ่งลำบาก ก็เลยพยายามปีนขึ้นไป
แค่ตัวเองก็เอาตัวรอดได้ลำบากแล้ว ก็ยังต้องคอยหันไปให้กำลังใจหญิงที่ปีนตามมา
แต่ในที่สุด พวกเราก็สามารถพาตัวเองขึ้นไปยังลานชมวิวได้อย่างปลอดภัย … เฮ่อ!!!

จุดชมวิวบนนี้สวยมากกกก ชื่อว่าจุดชมวิวผาจันทร์จรัส
เป็นจุดชมวิวอันดับต้นๆของเมืองไทยเลยทีเดียว
จากจุดนี้สามารถมองเห็นเกาะเล็กเกาะน้อยของหมู่เกาะอ่างทองได้อย่างทั่วถึง
ปาก็อุตสาห์ยืนนับนะว่านับได้ทั้งหมด 32 เกาะ ในจำนวนหมู่เกาะทั้งสิ้น 42 เกาะ

กว่าเราจะปีนมาถึงบนนี้ก็ปาไป 6 โมงแล้ว ได้เวลาเคารพธงชาติพอดี
พวกเราอยู่บนนี้จนถึง 6.15 น. ก็เริ่มปีนลง
ปกติเราชอบการเดินลงเขามาก แต่ครั้งนี้ไม่ปกติ เพราะต้องปีนลงเขา!!!
ปีนขึ้นที่ว่ายากแล้ว ปีนลงกลับยิ่งยากเข้าไปอีก
ทุกย่างก้าว ต้องค่อยๆปีนลง เหยียบหินทีละก้อนๆ
ถ้าเหยียบพลาดก็ได้แผลหรือเคล็ดขัดยอกไปตามๆกัน
แถมเรายังมีห่วงอันเบ้อเริ่มก็คือกระเป๋ากล้องสะพายข้างใบใหญ่ที่ช่างหนักและเกะกะจริงๆ
หนุ่มถึงบอกว่าควรลงทุนกับเป้ใส่กล้อง เพราะจะสะดวกมากกว่า

ปา เดินนำลงไปคนแรก และทิ้งห่างไปอย่างไร้ร่องรอย
สมเป็นแม่ละมั่งน้อยตามที่นุ่มเรียกเลย 555
นุ่มและหนุ่มก็ตามปาลงไปในตอนแรก
แต่เนื่องจากเรากับหญิงที่ช้ากันที่สุด
เนื่องจากหญิงยังเดี้ยงอยู่จากอาการหวัด และนิ้วเจ็บและชาอันเนื่องมาจากน้องหมากัด
จึงทำให้ต้องค่อยๆเดินกันไป ในขณะที่ฟ้าก็ค่อยๆมืดลง T^T

เมื่อเรากับหญิงค่อยๆคลำทางไปซักพัก ก็ได้ยินเสียงนุ่มเรียก
นุ่มและหนุ่ม รอพวกเราอยู่กลางทางเพราะรู้ว่าพวกเราไม่มีไฟฉายกันมา
แต่ทันทีที่นุ่มสาดไฟฉายพานาโซนิคเพื่อเปิดทางให้เรา
เราก็ต้องควักไฟฉายพวกกุญแจ LED ของ Energizer ออกมาสู้ เพราะหลอด LED สว่างกว่ากันเยอะ
เสียแต่ว่าเป็นไฟฉายพวงกุญแจที่เราต้องคอยกดค้างไว้ตลอดเวลา ทำเอาเมื่อยนิ้วไปเลย

ฟ้าเริ่มมืดลง ๆ จนเรากันนุ่มต้องสลับกันสาดไฟฉายตลอดทางเดิน
เราเปิดไฟฉายให้นุ่มตอนเดินลงไปคนแรก
พอลงไปถึงระดับนึง นุ่มก็สาดไฟฉายขึ้นมาให้พวกเราเดินตามกันลงไป
ส่วนหนุ่ม สุภาพบุรุษหนึ่งเดียวของกลุ่ม (หล่อที่สุดในกลุ่มเลย 555) ก็คอยเดินรั้งท้ายให้

หลังจากที่เดินลงมาเรื่อยๆจนถึงจุดชมวิวที่ 1
พวกเราก็ได้พบเพื่อนใหม่อีกหลายชีวิต
เป็นหิ่งห้อยตัวน้อยหลายสิบตัว ส่องแสงกระพริบวิบวับ บินเอื่อยๆรายล้อมรอบตัว
ช่างเป็นบรรยากาศที่โรแมนติคเหมือนฝัน
ทำเอาหายเหนื่อยกันเป็นปลิดทิ้ง
จากที่เครียดอันเนื่องมาจากต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการเดินทางในความมืด
ก็กลับยิ้มได้และมีความสุขกับการเดินทางในยามไร้แสงตะวัน

ขณะที่เดินต่อไปได้อีกซักครู่ ก็เห็นฝรั่งคนนึง มีไฟฉายคาดหัวเดินสวนขึ้นมา
เค้าจะขึ้นไปตามเพื่อนอีก 2 คนที่ยังไม่ลงมา โดยไม่แน่ใจว่าเพื่อนเค้าพกไฟฉายไปด้วยหรือไม่
โอ้โห แมนมากกกก … มีแฟนรึยังจ๊ะ ^^
แต่พอเค้าขึ้นไปได้ไม่นาน ก็เดินลงมาจนตามทันพวกเรา
โดยบอกว่าเพื่อนเค้ามีไฟฉายแล้ว เลยไม่ต้องรอนำทาง
แต่เค้ากลับมายืนรั้งท้ายส่องไฟให้กับพวกเราแทน … เป็นแฟนชั้นเอามะ ^^

ในที่สุด พวกเรา 4 คนก็ลงมาถึงข้างล่างอย่างปลอดภัย
ส่วนเราก็ได้แผลขีดข่วนมาและขาเคล็ดนิดหน่อย
ปาที่รออยู่หน้าทางขึ้นจุดชมวิว ก็โล่งใจ
เพราะกำลังคิดอยู่ว่าจะไปตามเจ้าหน้าที่มาช่วยหาพวกเราดีมั้ย
เพราะว่าปาลงมาถึงก่อนพวกเราตั้ง 20 นาทีแล้ว แต่ก็ยังไร้วี่แววที่พวกเราจะลงมาเลย

พวกเราทั้ง 5 คน ตรงไปยังร้านค้าสวัสดิการทันที
ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว ไส้กิ่วไปหมด
พวกเราสั่งกับข้าวมาคนละอย่าง และข้าวอีก 1 โถ
ที่นี่ข้าวเปล่าจานละ 30 บ. แต่โถนึง 80 บ.เอง กินได้ 5 คนสบายๆเลย
อาหารที่นี่บางอย่างก็อร่อยดี บางอย่างก็รสชาติแปลกๆ แถมมีให้เลือกน้อยอย่าง
แต่เราก็เลือกกินอาหารเบสิค จำพวกไข่เจียว ต้มยำ ผัดผัก ก็เลยกินกันได้ง่ายๆ

เมื่ออิ่มแล้ว พวกเราแวะชมจันทร์ก่อนยกโขยงกลับเข้าห้องพัก


พอถึงบ้านพัก ก็อาบน้ำอาบท่า ล้างคราบดินที่เปื้อนตามแข้งขาจากการปีนเขา
ขอบ่นเรื่องห้องน้ำหน่อย ไม่สะดวกเอาซะเลยเพราะไม่มีอ่างล้างมือในห้องน้ำ
จะล้างมือล้างหน้าก็ต้องใช้ฝักบัวหรือไม่ก็เอาขันรองน้ำเอา
เพราะแม้จะมีอ่างน้ำเล็กๆ สำหรับตักราดส้วม
และมีอ่างใหญ่สำหรับรองน้ำไว้อาบน้ำ แต่ก็ไม่มีใครกล้าใช้
เพราะมีเจ้าตะเข็บแดงน้อย หน้าตาคล้ายตะขาบแต่เดินช้ากว่าและไม่มีเรด้าร์ดุ๊กดิ๊ก 2 เส้น
นอนแช่น้ำอยู่ในอ่าง ไม่ก็เดินเล่นตามพื้นห้องน้ำรวมกันแล้วเกือบ 10 ตัว
เห็นแล้วเครียดเลยทีเดียว เราเลยใส่รองเท้าแตะอาบน้ำด้วยเลย -*-

ขณะที่เราอาบๆอยู่ ไฟตก!
แล้วชั้นจะเห็นเจ้าตะเข็บได้ไง T^T
ดีที่เพื่อนๆข้างนอกส่งไฟฉายมาให้ เราเลยรีบอาบรีบออก

พวกเราออกมานั่งรับลม ทำกิจกรรมกันที่ระเบียง
บ้างก็กินขนมที่ตุนมาจากสมุย บ้างก็อ่านหนังสือ
เราก็ให้หนุ่มสอนวิธีทำความสะอาดกล้อง
สรุปแล้วเราต้องเสียตังซื้อลูกยางไว้เป่าฝุ่น พู่กันขนนุ่มๆปัดฝุ่นที่ติดแน่น แล้วก็ผ้าไมโครไฟเบอร์เพิ่ม
ชอบหาเรื่องให้เราเสียตังเรื่อยเลยจริงๆ T^T
ใครมีเหลือใช้ จะบริจาคให้เราบ้างมั้ย!!!

ใกล้จะเที่ยงคืนละ ขอตัวไปนอนก่อนดีกว่า ราตรีสวัสดิ์จ้า!

———————————

This entry was posted in Travel. Bookmark the permalink.

10 Responses to Samui & Angthong Islands 1

  1. Intiralee says:

    บางรูปในกล้องเราที่มีรูปเรา เพื่อนๆเราถ่ายให้นะจ๊ะ แต่เราลืมแก้ แหะๆ

  2. ยาวววววววว มาก อ่านจนตาลาย..

    ว่าแต่.. ชื่อเกสท์เฮ้าส์กุ๊กกิ๊กมากๆ เลย แพนด้าาา~

  3. bilinmez12 says:

    หน้าต่างบานแรก

    เราลองพิจารณาถึงสิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดโดยเฉพาะชีวิต ซึ่งมีความต้องการความต้องการที่แตกต่าง และความปรารถนาที่หลากหลายที่ไม่อาจคณานับได้…และด้วยความต้องการท่านได้ถูกนำพาไป และความปรารถนาที่ท่านได้ประจักษ์ในทุก ๆ เวลาที่เหมาะสม… เป็นที่ทราบว่ามือของผู้ที่มีความต้องกานั้นไม่อาจบรรลุถึงความต้องการของเขา อันเนื่องมาจากความหวังและจุดมุ่งหมายที่กว้างไกล ท่านท่านมีความประสงค์ก็ลองใคร่ครวญตนเอง :

    ท่านจะพบว่าทุก ๆ สรรพสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ยืนยันในความมีอยู่จริงของพระเจ้า อันเนื่องมาจากความขัดสนและความต้องการที่จำเป็นของมันที่ไร้ซึ่งอำนาจและพลังใด ๆ และมันก็ชี้ให้เห็นด้วยถึงการเป็นเอกเทวะขององค์อัลลอฮ์(ซ.บ)ด้วยกับความจำเป็นและความต้องการของตัวมันเองหรือบ่งบอกถึงการเป็นหนึ่งเดียวของพระองค์ด้วยกับตัวของมันเอง เช่นแสงอาทิตย์เป็นหลักฐานให้กับตัวของมันเองว่ามันคือดวงอาทิตย์ และมันก็ทำให้ผู้เขียนได้ตระหนักว่าอัลลอฮ์นั้นทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงเกียรติ ทรงเมตตา ทรง

    เป็นพระผู้อภิบาล และผู้บริหารยิ่ง.

    ท่านช่างเขลาเสียนี่กระไร และการหลงลืมช่างน่าตำหนิยิ่งนัก โอ้ผู้ที่เขลาเบาปัญญาและหลงลืมที่ยิ่งยโส… ท่านจะอธิบายการปฏิบัติเช่นนี้อย่างไร? ผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ และพระผู้ทรงเมตตา ? หรือจะอธิบายด้วยกับธรรมชาติที่ไร้การตอบสนอง หรือด้วยกับพลังที่มืดบอด หรือด้วยกับเป้าหมายที่มืดมน หรือด้วยกับสาเหตุต่างที่ไร้สมรรถภาพ

    หน้าต่างที่สอง

    การที่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ยังคงมีความสับสน ระหว่างการมีอยู่และปรากฏการณ์ และยังมีความสับสนเกิดขึ้นระหว่างวิถีทางของความเป็นไปได้และความน่าจะเป็นไปได้อย่างไม่มีข้อสิ้นสุด เมื่อรูปร่างที่เป็นเอกลักษณ์ได้ถูกประทานมาต่อวิถีทางต่าง ๆ นี้ โดยมีจุดมุ่งหมายในการจัดระบบและปัญญา….

    ท่านลองพิจารณาสัญลักษณ์ความแตกต่างที่มีอยุ่เหล่านั้นที่มีอยู่ในใบหน้าของมนุษย์ เครื่องหมายต่าง ๆ เหล่านั้นซึ่งมันได้เป็นตัวแยกแยะบรรดาลุกหลานของของตัวของเขาเอง ท่านลองสังเกตดูถึงสิ่งที่ได้บรรจุอยู่ในตัวมนุษย์ด้วยปัญญาจากสัมผัสภายนอกและความรู้สึกภายใน มิใช่ดอกหรือที่ใบหน้าน้อย ๆ นั้นเป็นหลักฐานอันชัดแจ้งต่อพระองค์ผู้ทรงเป็นเอกะ ?

    ด้วยกับร้อยพันหลักฐาน ดั่งที่หน้าตาเป็นตัวบ่งบอกถึงการมีอยู่ของพระผู้ทรงสร้างที่ปรีชาญาณ และเป็นข้อพิสูจน์ที่การเป็นหนึ่งเดียวของพระองค์ ดังนั้นทุก ๆ ใบหน้า ทุก ๆ ชีวิตทั้งหมดนั้นได้ให้ความกระจ่างแก่หน้าต่างบานนี้แล้วว่า : นี่คือหลักฐานอันยิ่งใหญ่และสูงส่งขององค์พระผู้สร้างผู้ทรงเอกะหนึ่งเดียว

    โอ้ผู้ที่ปฏิเสธ ! ท่านมีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสัญลักษณ์ต่าง ๆ เหล่านี้และตราผนึกที่ท่านเองก็ไม่สามารที่จะปฏิบัติตามได้ หรือท่านจะอ้างถึงหลักฐานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ผู้ที่เป็นที่พึ่งของทุก ๆ สิ่ง ว่าเป็นของใครคนหนึ่งที่มิใช่ผู้ทรงเนรมิตรูปร่างกระนั้นหรือ ?

    หน้าต่างบานที่สาม

    แท้จริงพืชผลชนิดต่าง ๆ และสัตว์พันธุ์ต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ในโลก มีมากกว่าสี่แสนชนิด ดูราวกับว่าสิ่งเหล่านี้คือกองทัพอันยิ่งใหญ่เกรียงไกร และเราก็เห็นได้ว่าทุกประเภทของกองทหารเหล่านี้นั้นมีปัจจัยที่แต่งต่างกันออกไป รูปทรงที่แตกต่าง อาวุธที่หลากหลาย และชุดปกปิดที่เฉพาะเจาะจง การบริหารที่เป็นลักษณะเฉพาะ และการหาปัจจัยอาหารที่ไม่เหมือนกันต่างจากการรับใช้ และสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้นั้นได้ดำเนินไปอย่างเป็นระบบที่สมบูรณ์แบบ และประสิทธิภาพในความสามารถที่ละเอียดอ่อน.

    ดังนั้นการบริหารและการควบคุมกองทัพอันยิ่งใหญ่นี้ ผู้นั้นจะต้องปราศจากความหลงลืม และความคลุมเครือ สิ่งนี้เองคือหลักฐานที่ชัดแจ้งของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นหนึ่งเดียว.

    ใครจะเป็นผู้ที่ซึ่งยื่นมือเข้ามาบริหารที่มหัศจรรย์โดยมิใช่พระองค์ผู้ทรงเป็นราชันย์ที่ยิ่งใหญ่โดยที่อำนาจ ความรอบรู้และปรีชาญาณของพระองค์ไม่มีที่สิ้นสุด จากสิ่งดังกล่าวนั้นเพราะผู้ที่ซึ่งไม่มีความสามารถในการบัญชาและควบคุมสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้และเหล่าประชาชาติต่าง ๆ ที่อยู่โดยรอบ ที่แทรกซึมเข้ามา โดยการกระทำเพียงครั้งเดียวในช่วงเวลาเดียวกัน เขาก็ไม่สามารถหยั่งรู้ถึงการมีอยู่ของผู้ใดผู้หนึ่งในทั้งหมดได้เช่นกัน เมื่อนั้นถ้าหากว่ามีการแทรกซึมเกิดขึ้นก็จะเกิดร่องรอยหลักฐาน และความผิดพลาดและส่วนที่ขาดหายไปก็จะกระจ่างชัด : (ดังนั้นจงพินิจพิจารณาดูเถิด ท่านได้พบควาามบกพร่องอันใดเล่า) (อัลมุลก์ อายะห์ที่ 3)

    ดังนั้นไม่มีข้อบกพร่อง และความไม่สมบูรณ์ เช่นนั้นก็ไม่มีผู้ร่วมภาคี.

    หน้าต่างบานที่สี่

    ดังนั้นการตอบรับคำวิงวองพระองค์ผู้สร้างสำหรับคำวิงวอนโดยทั่วไปที่ออกมาจากลิ้นของความเตรียมพร้อมในการอุทิศตน จากลิ้นของที่มีความต้องการของบรรดาสรรพสัตว์ และจากลิ้นของผู้ที่ร้องของความช่วยเหลือของมนุษยชาติ………

    ใช่, แท้จริงการตอบรับคำ วิงวอนของการของพรทั้งหมดนี้นั้นไม่มีข้อจำกัดที่จำต้องตอบรับในทันใดต่อ หน้าของพวกเราโดยที่เราเห็นสิ่งนั้นกับสายตาของเรา.

    ดั่งที่การตอบรับคำวิงวอนนี้นั้นเป็นสิ่งที่ชี้ให้ เราเห็นถึงการมีอยู่อย่าแน่นอนของพระผู้เป็นเจ้า และการเป็นเอกะของพระองค์ ดังนั้นการตอบรับคำวิงวอนของพระองค์ดังกล่าวนั้นได้บ่งบอกอย่างชัดเจนด้วย การไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วถึงพระผู้ทรงสร้างที่เมตตาการุณผู้ที่ตอบรับคำ วิงวอน และได้ทำให้ทุกสายตาจับจ้องไปสู่องค์มหาบริสุทธิ์ .

    หน้าต่างบานที่ห้า

    เมื่อเราได้พิจารณาสรรพสิ่งต่าง ๆ อย่างถ้วยถี่แล้ว โดยเฉพาะสิ่งที่มีชีวิต เราจะเห็นว่าสิ่งนั้นดูราวกับว่ามันได้เกิดมากจากมือที่สร้างมันขึ้นมาอย่างหน้าประหลาดใจ และก่อกำเนิดเป็นตัวตนอย่างฉับพลัน….ดังนั้นก็เป็นการสมควรอย่างยิ่งหากสรรพสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ถูกประกอบขึ้นเมื่อไม่นาน และการกระทำที่เร่งด่วนที่มีทั้งรูปร่างที่เป็นสามัญและรูปร่างที่ไปสมบูรณ์ และปราศจากความประณีต, เราได้พบว่า:

    ท่านนั้นได้ถูกสร้างขึ้นด้วยการประดิษฐ์ที่ประณีตและงดงาม ความประณีตและความงดงามนี้นั้นจำต้องอาศัยความชำนาญการที่สูงยิ่ง….

    และเราได้พบว่า :

    การร่องรอยส่วนเว้าที่งดงามและรูปลักษณ์ที่ละเอียดลออ จากความงดงามและความละเอียดลออนี้จำต้องอาศัยความอดทนและระยะเวลาเป็นอย่างมาก

    และเราได้พบว่า :

    เครื่องประดับอันบรรเจิดและความสวยงามที่ดึงดูดจิตใจ เครื่องประดับและความสวยอันงามนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกให้ถึงสัญลักษณ์แห่งความงดงามที่หลากหลาย และสื่อที่เป็นเครื่องประดับที่มากมาย…..

    ความประณีตอันน่ามหัศจรรย์นี้ และรูปลักษณ์อันงดงาม ร่างกายอันสมบูรณ์แบบ และการสร้างสรรค์น่าชื่นชม ทุก ๆ สิ่งนั้นเป็นหลักฐานบ่งบอกให้รู้ถึงการมีอยู่ของพระองค์ผู้ทรงสร้างที่ปรีชาญาณ และชี้ให้เห็นถึงความเป็นเอกะแห่งพระผู้อภิบาลของพระองค์

    เช่นนั้นทุกสิ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่มาอธิบายให้กระจ่างชัดถึงการมีอยู่อย่างแท้จริงขององค์อัลลอฮ์ ผู้ที่ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงพระปรีชาญาณ และอธิบายให้เห็นถึงความเป็นเอกะขององค์มหาบริสุทธิ์.

    โอ้ผู้ที่หลงลืมพระผู้อภิบาลของตนเอง, ผู้ยังสับสนอยู่ในสิ่งที่มีอยู่ทั้งหลาย….เรียบเร่งเถิด….มาอธิบายให้ความกระจ่างชัดกับเราในเรื่องนี้ด้วยกับสิ่งใด ? หรือท่านจะอธิบายสิ่งนี้ด้วยกับธรรมชาติที่ไร้สาระที่โงเขลาเบาปัญญา ? หรือท่านจะทำสิ่งที่ผิดลงไปอันเนื่องมาจากความโง่เขลาของท่านเองอย่างไม่มีขอบเขตแน่นอน ? หรือท่านยึดตามธรรมชาติด้วยคุณลักษณะแห่งความเป็นเจ้าและพาดพิงในตัวมัน ด้วยกับหลักฐานนี้ สิ่งมหัศจรรยาอันทรงเดชานุภาพของผู้ทรงสร้างที่สูงส่งผู้ที่บริสุทธิ์ไร้ข้อบกพร่องและข้อตำหนิใด ๆ ดังนั้นท่านจะยึดปฏิบัติสิ่งดังกล่าว มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย.

    • Intiralee says:

      ขอบคุณค่ะที่แบ่งปัน แต่เรานับถือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและยึดมั่นในพระธรรมของพระองค์ค่ะ _/l\_

  4. ื์Num_Sri says:

    เพิ่มเติมข้อมูลนะ ข้าวกลางวันไม่มีเเพนงเนื้อ เเต่มันคือเเกงมัสหมั่นเนื้อ
    เเละคุณนายปาน่ะ ขาลงดอยเธอจะเป็น “เเม่เลียงผาน้อย” นะ ไม่ใช่ละมั่ง เพราะเลียงผาเป็นสัตว์ที่ปีนเขาด้วยความว่ิองไวเก่งมาก

  5. Aery says:

    รูปวิวสีม่วงสวยดี เป็นสีนี้จิงๆหรอหรือปรับแสงเอา

    • Intiralee says:

      จริงๆเป็นสีส้มๆนะ แต่เอาไปใส่กรอบใน photoscape กลายเป็นสีม่วงได้ไงหว่า

  6. P'Rath says:

    สวยดี แต่โหด…เกิน คงจะปีนเขาไม่ไหวอะ ๕๕๕

    • Intiralee says:

      โหดจริงๆ ก็ถือเป็นประสบการณ์ คงไม่หาเรื่องปีนอีกแล้วแหละ ^^
      ไว้จะตามรอยพี่รัตน์ไปเกาะเต่า เกาะนางยวนนะ

Leave a comment